เจ้าของร้าน Cuisine de Garden
ผู้บุกเบิกอาหารแนว Molecular Gastronomy ร้านแรกในเชียงใหม่ แม้ว่าจะไม่ได้เริ่มต้นจากสายอาหาร แต่เชฟแนนก็เอาความชอบด้านศิลปะมาผสมผสานกับเทคนิคด้านการทำอาหารที่สั่งสมประสบการณ์จากการเรียน และการแข่งขันในหลายเวที ทั้งเชฟกระทะเหล็ก และการแข่งขัน Makro HoReCa Challenge ทำให้เชฟแนนได้เข้าทีม TCA (Thailand Culinary Academy) ไปเทรนด์ที่สิงคโปร์ และได้เดินทางไปแข่งขันในหลายๆ ประเทศ
เนื่องจากมีความสนใจในศิลปะมาตั้งเด็ก วาดรูปเก่ง เคยทำงานในสายออกแบบ อาหารทุกจานของเชฟแนนจึงมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร มีความน่ารัก สวยงาม เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ คล้ายกับการทำงานศิลปะบนจานอาหาร

“อาหารของที่ร้านในปัจจุบันเรียกว่า Innovative Cuisine เป็น Asian Style เป็นหลัก ผสมผสานกับเทคนิคแบบยุโรปเล็กน้อย เราพยายามหาตัวตนในการทำ Chef’s Table ให้คนที่มากินได้รู้สึกแตกต่าง และได้รับประสบการณ์ที่ต่างออกไป และตัวผมเองชอบงานดีไซน์อยู่แล้ว จึงชอบใส่เทคนิค และการ Presentation ต่างๆ ให้น่าสนใจ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับอาหาร และช่วงหลังนี้ผมได้มีโอกาสทำงานร่วมกับชุมชนต่างๆ มากขึ้น ผมสนใจในวัตถุดิบจากชุมชนต่างๆ ของไทย จึงอยากจะพัฒนาสิ่งนี้ร่วมกันไปกับชุมชนให้เกิดเป็นอาหารที่สามารถขึ้นมาอยู่บนโต๊ะอาหารแบบ Fine Dining ได้ โดยใช้วัตถุดิบในประเทศไทยของเรา อยากให้คนไทยได้ลิ้มลองรสชาติ และเห็นคุณค่าของวัตถุดิบบ้านเรามากขึ้น ให้เห็นว่าวัตถุดิบบ้านเรามีดีไม่แพ้วัตถุดิบจากต่างประเทศเลยครับ ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกครับว่าวัตถุดิบบ้านเราจะอร่อย แต่เมื่อได้ลองชิมด้วยตัวเองเราพบว่าทุกอย่างมันมีรสชาติ ถ้าปลูกแบบอินทรีย์นะครับ ทำให้เรารู้ว่าทุกอย่างที่เราเคยทำมันอยู่แต่ในกรอบ ทำให้วิธีคิดของเราเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ เราไม่ทำอาหารอยู่ในกรอบเหมือนเดิม เราสามารถจับนู่นจับนี่มาทำได้ตามความรู้และประสบการณ์ที่เรามี
ปัจจุบันร้าน Cuisine de Garden มี 2 สาขา ที่เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ เสิร์ฟอาหารแบบ Innovative Cuisine ที่มีแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ เชฟแนนสนใจในการนำวัตถุดิบท้องถิ่นของแต่ละภาคมาทำอาหาร โดยผสมผสานเทคนิคแบบยุโรปเข้าไป พร้อมกับการนำเสนออาหารอย่างละเมียดละไมแบบงานศิลปะ

“มันไม่มีถูกมีผิดหรอกครับเรื่องอาหาร มันต้องทดลอง ท้ายที่สุดมันก็อยู่ที่คนกินว่าจะชอบไหม แค่นั้นเอง มันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น แค่คุณตั้งใจทำในสิ่งที่คุณรู้มาให้คนกินเขารู้สึกอร่อย และมีความสุข ก็จบแล้ว เรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันทำให้เราทำอาหารด้วยความเข้าใจมากขึ้น”