Green Peoples

นิเวศน์ พิรารักษ์

จากเฝ้าคนเมา มาเข้าสวน ดวลกับออร์แกนิคปลอม เส้นทางเขียววิบาก

จากเฝ้าคนเมา มาเข้าสวน ดวลกับออร์แกนิคปลอม

เส้นทางเขียววิบากของ นิเวศน์ พิรารักษ์

สายเที่ยวกลางคืนเมื่อสิบปีก่อนคงจะจำตำนานการปิดผับมาปลูกผัก ของ นิเวศน์ พิรารักษ์ เจ้าของ Monkey Club ผับที่โด่งดังที่สุดในขณะนั้น และร้านในเครืออีกหลายร้าน จากธุรกิจกลางคืนผันตัวเองเข้าหาแดด ลม ฟ้า เพื่อปลูกผักอินทรีย์ที่มีคุณภาพให้กับผู้บริโภค บนเส้นทางแห่งการทำเกษตรอินทรีย์ ทำให้เขาค้นพบว่าการควบคุมคนเมาไม่ให้ก่อเรื่องนั้นง่ายกว่าการควบคุมธรรมชาติหลายเท่าตัว โลกที่ยากอยู่แล้วยิ่งยากขึ้นไปอีกเมื่อเจอต้นทุนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ


ปิดผับมาปลูกผัก

“ผมทำงานเกษตรอินทรีย์มาเกือบ 13 ปี ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ก่อนทีผมจะปิด Monkey Club ผมก็เริ่มปลูกผักออร์แกนนิคแล้ว ตอนนั้น ผมมีเป้าหมายเพื่อที่จะหาความสำเร็จบนความรู้สึกที่สุดยอดกว่า เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้วผักที่ดีหากินยากเหลือเกิน แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนเป้าหมายให้ชัดเจนขึ้น ผมคิดว่าจะต้องทำผักออร์แกนิคในเชิงของธุรกิจเพื่อที่จะให้มันยั่งยืนขึ้น เพื่อให้ใครสักคนที่อยากเข้ามาปลูกผักออร์แกนิคมีแนวทางสำหรับการเริ่มทำให้เป็นธุรกิจ ไม่ใช่แค่มาปลูกแล้ววันหนึ่งก็เลิกทำ ต้องให้เขารับรู้การบริหารการจัดการ และทำผักออร์แกนิคในเชิงธุรกิจ ได้จริงๆ ผมมาถึงจุดที่อยากจะถ่ายทอดความรู้ แล้วก็หวังว่าวันหนึ่งการทำธุรกิจปลูกผักออร์แกนิคจะเป็นสสิ่งที่เรียนรู้และทำให้สำเร็จได้จริง”

ทรัพย์ในดิน

ตลอด 10 ปีนิเวศน์ พยายามทำการเกษตรเชิงธุรกิจอย่างหนักหน่วง แล้วเขาก็พบว่าแม้เราควบคุมธรรมชาติไม่ได้ แต่เราสามารถดูแลหัวใจของการทำเกษตรอินทรีย์ นั่นคือ “ดิน”

“ผมนำแนวคิดของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือการเลี้ยงดินให้มีชีวิต หลักการคือ การเลี้ยงดินแล้วให้ดินเลี้ยงพืช มาลองใช้ เมื่อผมทดลองทำสักระยะ แล้วปรากฏว่าเป็นเรื่องดีที่เราควรทำ และส่งผลให้ต้นทุนการจัดการปลูกผักแบบออร์แกนิคลดลง การจัดการจะง่ายขึ้น การใช้แรงงานน้อยลง และผมคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนทำผักออร์แกนิคจริงๆ มากขึ้น

ความไม่สมบูรณ์ของธรรมชาติ และราคาที่เราต้องจ่าย

สิ่งสำคัญของการอยู่ร่วมกันในโลกของ Greentopia คือ ต้องยอมรับความไม่สมบูรณ์ของธรรมชาติ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ นอกจากนี้ยังต้องยอมรับให้ได้ว่า การผลิตโดยเลียนแบบความสมบูรณ์ของธรรมชาตินั้นจะไม่สามารถให้ผลผลิตได้มากเท่ากับการใช้เคมีตลอดทุกฤดูกาล ความยากทั้งหมดนี้ คือราคาที่ผู้บริโภคอย่างเราต้องจ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะจ่ายอย่างไรให้ได้ของที่เราต้องการ นิเวศน์จึงเล่าความจริงหน้าแปลงให้เราฟังว่า

“ผมมีพื้นที่ผลิตประมาณ 40 ไร่ ภายใน 1 อาทิตย์ จะได้ผลผลิตประมาณ 1,000 กว่ากิโล แต่เมื่อฤดูฝนที่ผ่านมาผมทำได้ 100-200 กว่ากิโล ขายเฉลี่ยกิโลละ 100 ได้ประมาณ 10,000-20,000 บาท แต่ค่าแรงพนักงานต้องจ่าย 200,000 บาทแล้ว สิ่งที่ผมต้องการจะบอกก็คือ ในฤดูฝนที่ผ่านนมา ผักมันไม่ดีจริงๆ ยิ่งฤดูฝนที่ต่อเนื่องยาวนาน ทำให้โรคที่เกิดจากเชื้อรายังคงอยู่ต่อเนื่องจนนถึงต้นฤดูหนนาว ทุกวันนี้แปลงสุดท้ายที่เพิ่งเก็บมาใบผักด้านล่างต้องดึงทิ้งหมด ทั้งที่เราคิดว่าฤดูฝนนี้เราจะได้ผักที่มีคุณภาพอยู่บ้าง แต่ก็ยังผักก็ยังโดนทิ้งไปมากกว่าที่คิด ดังนั้นปริมาณผักงามๆ ที่ถาโถมขึ้นเชลฟ์ออร์แกนิคในห้างสรรพสสินค้าช่วงเวลาที่คนปลูก และคนกินต่างก็รู้ว่าเมื่อฝนตกหนักจะไม่มีผลผลิตหรือได้ผลผลิตน้อย คนกินก็ต้องมีคำถามว่าทำไมจึงมีผักสวยๆ ออกมาได้


อีกตัวอย่างหนี่งคือ ผมส่งผักบางชนิดอาทิตย์ละสามครั้ง แต่ละครั้งสมมติว่าส่ง 6 ถุง ผมจะต้องเก็บกลับมา 4 ถุง ทั้งนี้ก็เพราะ คนเค้าซื้อ “ผักสวย” กัน ผักเมื่อเจอเชื้อโรคเชื้อราก็สังเคราะห์แสงได้น้อยลงใบเล็กกว่า ความสสวยงามก็น้อยลง ส่วนในแง่ของราคา การปลูกกะหล่ำปลี 1 แปลง ในฤดูหนาวจะได้ผลผลิต 120-170 กิโล แต่ฤดูฝนจะได้ออกมาแค่ 35-45 กิโล แต่กระหล่ำปลีสวยๆ ที่เราซื้อกัน ขายในตลาดกิโลละ ประมาณ 10บาท คนที่ปลูกอินทรีย์อย่างผมบางทีตั้งใจผลิต 100 กว่ากิโล แต่เหลืออยู่แค่ 30 กว่ากิโลจะไปแข่งกับเขาได้ยังไง ขายเท่าเขาได้ยังไง บางครั้งกับผักบางชนิด กิโลละ 200 แต่ผมคัดแบบตกเกรดไปขายตลาดสด ในราคากิโลละ 70 ลูกค้ายังต่อราคาถูกกว่าผักทั่วไปเสียอีก”

อินทรีย์ไม่แท้

คำว่า Organic เมื่อนำไปติดไว้ที่ไหน กลายเป็นคำที่อ่อนไหว มีคำถามเกิดขึ้นตลอดเวลาว่า เป็นออร์แกนิคแท้หรือไม่ แล้วผู้บริโภคอย่างเราจะทำอย่างไรได้บ้าง

“มาลองคิดดูว่าในวันที่เราจ่ายเงินแพงกว่าปกติ แต่เรากลับได้ของปลอม ถ้าเรารู้ทีหลังมันเจ็บปวดมากนะครับ เพราะฉะนั้นเราคงต้องตั้งสติ เริ่มหาความรู้ ไปดูที่ฟาร์มที่ปลูก แล้วคุณจะน่าได้ผักดีๆ ก็จะได้เห็นเกษตรกรทำงานกลางแดดร้อน ทำผักดีๆ ให้กับทุกคนกิน อย่าเชื่อในความสวยและป้ายสัญลักษณ์อย่างเดียว

ทุกวันนี้ผมประกาศกับพนักงานว่า คู่แข่งที่สำคัญที่สุดของฟาร์มเราคือ “ออร์แกนิคปลอม” ถ้ามีออร์แกนิคจริงมาขายเราไม่กลัว เพราะของเขาก็ต้องสวยพอๆ กับเราหรือสวยมากน้อยไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ เขาบริหารจัดการดีแค่ไหนต้นทุนเขาก็จะพอๆ กับเรา


ผมเป็นคนมองโลกสองแง่เสมอ และเป็นคนทำงานแบบมุทะลุดุดัน ถ้าจะตายก็ตายตรงนั้น อดีตผมเป็นคนทำผับทำบาร์ เหมือนหยิบยื่นสารพิษให้ทุกคน ในเวลานี้ผมมาทำผัก ผมก็รู้สึกว่ามันน่าจะทดแทนกับสิ่งที่ผมทำไปก่อนหน้านี้ วันนี้ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าเราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำมันดี เราก็แค่พยายามทำต่อไปแล้วอยากให้ทุกคนมองโลกในแง่ดีว่ามันเป็นไปได้ แต่เราต้องคุยกันบ่อยๆ ว่าเราจะเริ่มต้นมันยังไง สำหรับผมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมขอยืนยันว่าจะทำออร์แกนิคให้ทุกคนได้รับประทานต่อไป ผมยืนยัน”

ในวันนี้ที่ Monkey Farm นิเวศน์ไม่เพียงผลิตผักออร์แกนิคแต่ยังแบ่งเวลาให้ความรู้กับผู้ที่มาเยือน และพร้อมจะเปิดให้ความรู้กับทุกคนที่ต้องการทำธุรกิจเกษตรอินทรีย์ ความรู้ที่เปี่ยมคุณค่าของนิเวศน์ ไม่เพียงแลกมาด้วยเงินจากการขายเหล้าหลายๆ สิบล้านที่มลายหายไปกับแปลงผักอินทรีย์ แต่แลกด้วยเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตทีมีทั้งทุกข์และสุข เราจึงอยากให้คุณลองไปดูการทำงานของฟาร์มต่างๆ ที่ผลิตผักให้คุณสักครั้ง แล้วคุณจะรู้สึกว่าการทิ้งผักสักใบมันช่างดูผิดบาปเหลือเกิน