กว่า 10 ปี ที่นฤมล ชมดอก หรือ แอน ได้ทำงานด้านการสร้างเนื้อหา ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ทั้งเชิงนิเวศน์ และเชิงวัฒนธรรม การเดินทางรอนแรมไปยังจังหวัดต่างๆ มากกว่าค่อนประเทศ ทำแฟนเพจ go2askanne และเว็บไซต์ www.go2askanne.co เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอาหาร เพื่อให้ความรู้ แนะนำร้านอาหารที่ดี และปลอดภัยต่อทุกๆ คน
ด้วยความที่ทั้งเกิด ทั้งกิน ที่เชียงใหม่มาตลอดชีวิต เธอจึงเล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วบ้านเรามีเทรนด์เรื่อง Foraging ที่เขาฮิตกันในเมืองนอกมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เราเพิ่งมากินหมูกระทะ กินอาหารฟาสต์ฟู้ด เมื่อไม่นานมานี้ และเพิ่งจะไปจ่ายตลาดซื้อของกันเยอะๆ ก็ไม่นานมานนี้เหมือนกัน ทั้งที่แต่ก่อนจำได้ว่า ย่าของเธอซื้อแค่ของที่มาจากต่างถิ่นพวก ผงชู รส น้ำตาล และกะทิเท่านั้นเอง พฤติกรรมการกินอาหารอย่างมากมายแบบสุดโต่งในแบบบุฟเฟต์ราคาถูกเกิดขึ้นมากมาย นำมาซึ่งสารเร่งฮอร์โมน และสารกันบูดที่ต้องประโคมใส่ในอาหาร การตัดต้นไม้ทั้งเขาปลูกกระหล่ำปลี หรือข้าวโพดเพื่อเป็นอาหารสัตว์ส่งให้กับการผลิตเนื้อสัตว์แบบอุตสาหกรรม เมื่อเก็บเกี่ยวได้ก็มีการเผาพื้นที่เก็บเกี่ยว เกิดปัญหามลพิษเป็นลูกโซ่ เธอจึงเชื่อว่า “หนึ่งคำที่เราเคี้ยว เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องทั้งโลก” และการให้ความรู้กับคน เพื่อจุดประกายความคิดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพื่อให้การกินของเราอยู่กับร่องกับรอย ไม่ทำร้ายโลกมากจนเกินไป
เธอเล่าที่มาของความคิดในการทำงานของเธอให้เราฟังว่า
“ด้วยความที่เราเป็นเด็กบ้านนอก ที่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้เลยด้วยซ้ำ แหล่งอาหารที่บ้านได้มา จะมีสามแหล่งหลักๆ อันแรกก็คือ แพะ ซึ่งไม่ได้หมายถึงแพะที่เป็นสัตว์ แต่ “แพะ”ภาษาเหนือหมายถึงป่าที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ชาวบ้านจะไปแพะกันนอาทิตย์ละครั้ง หรือเดือนละสองครั้ง ส่วนใหญ่เวลาเข้าแพะ ก็จะได้ของตามฤดูกาล เช่น หน้าร้อน ก็ได้พวกปลีกล้วยป่า ยอดมะขาม ยอดตาล มะม่วงป่า มะเฟือง มะไฟ หน้าฝนก็ได้ของเยอะหน่อย พวกผักพ่อค้าตีเมีย ผักหนาม ดอกอาว ดอกนางแลว ดอกจี๋กุ๊ก ผักปู่ย่า หน่อ เห็ดต่างๆ พวกเห็ดขมิ้น เห็ดถอบ ยังมีพวกแมงมัน จิ๊กกุ่ง รถด่วน หรือหนอนไม้ไผ่ พอเข้าหน้าหนาวมันแล้งหน่อยของกินไม่ค่อยมาก ก็เป็นของที่ขึ้นทุกฤดู คือกล้วย เอามาได้ก็ค่อยมาคิดว่าเราจะทำอะไรกินกัน
ได้วัตถุดิบจากป่าแล้วยังมีของจากในบ้านเราเอง ซึ่งปกติบ้านคนเมืองจะมีผักสวนครัวอยู่ในบ้านทุกบ้านอยู่แล้ว บางทีก็ปลูกสวนครัวระหว่างทางเดินเข้านา และรอบๆ คลอง ซึ่งเราก็เก็บกินได้หมด ถ้าบอกย่าว่าหิวข้าว ก็แค่หิ้วตะกร้าเดินเข้าสวนไป ตำน้ำพริก เอาจิ๊นแห้ง หรือหนังหมู หนังควาย ที่รมควันไว้ลงต้ม แล้วก็ทำแกง แป๊บเดียวก็ได้แกงแคหนึ่งหม้อ แหล่งอาหารอีกที่หนึ่งคือตลาด คนแถวบ้านไปตลาดส่วนใหญ่จะไปซื้อของแห้ง และเนื้อ ต่างๆ เพราะจะให้ล้มหมู ล้มควาย ทุกวันคงไม่ไหว
เมื่อโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ เรากินข้าวนอกบ้านกันมากขึ้น เรากินเมนูอาหารต่างถิ่นมากขึ้น เราอยู่ห่างไกลจากป่าไปเรื่อยๆ เลิกปลูกผักสวนครัวเปลี่ยนเป็นซื้อกิน ทำให้เราตรวจสอบไม่ได้ว่าแหล่งที่มาของกินของเรานั้นมาจากไหน เราถูกโปรแกรมให้กินผักเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันแทรกซึมเข้ามาในชีวิตของเราตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกที เราก็ซื้อชุดผักติดตู้เย็นที่ห้างสรรพสินค้ามาไว้ในตู้เย็น ทำให้เรารู้จักแค่รสชาติของผักกาดขาว กระหล่ำปลี ผักคะน้า และพริก เท่านั้นจริงๆ ทางเลือกที่หลากหลายในการกินผักของเราน้อยลง เมื่อมีคนกินผักแบบเดียวกันมากๆ ก็เท่ากับเราสนับสนุน ให้เกิดการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมากขึ้น ต้องผลิตให้ได้มากไม่ว่าในฤดูไหน ดังนั้นจึงต้องใช้สารเคมีในการปลูก ใช้ยาฆ่าหญ้าเพื่อลดต้นทุนของแรงงาน ต้องใช้สารกันราเพื่อให้ผลผลิตส่งมาหาเราแบบไม่เน่าเสีย ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ต่างๆ เกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ และที่หนักหนาที่สุดคือ ส่งผลกระทบหาตัวเราเอง มันเหมือนกับการฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ แบบที่เรียกว่า “ตายผ่อนส่ง”
เราลืมไปแล้วว่า พอลมร้อนมาเราจะได้กินแกงสะแล ได้กินแกงบะค้อนก้อม (แกงมะรุม) ช่วงกลางหน้าร้อนเราได้กินยอดผักเปรี้ยว พวกส้ายอดมะขาม พอผ่านร้อนฝนแรกมาเราก็ได้กินเห็ดถอบ ฝนผ่านไปสักระยะเราจะได้กลิ่นของน้ำพริกเห็ดหล่มตามบ้านหอมๆ ได้กินหน่อไม้หวานกับน้ำปู๋ กลิ่นหมกเห็ดถั่วเน่าช่วงปลายฤดูฝน และเมื่อเข้าหนาว เป็นช่วงข้าวใหม่มาเดินในหมู่บ้านก็จะได้กลิ่นข้าวใหม่สุกๆ หอมๆ จากการเผาข้าวหลามตอนเช้า เอามากินกับไข่ป่าม ปลาย่าง หรือทำข้าวจี่ตอนเช้า เรื่องราวเหล่านี้ค่อยๆ เลือนหายไปจากเรื่องราวการกินในปัจจุบัน
พอได้คุยกับคนทำอาหารหลายๆ คน เมื่อหลายปีก่อนเลยคิดว่าจะทำเนื้อหาที่เกี่ยวกับความยั่งยืน ค่อยๆ เขียนไป และส่งเสริมร้านที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความยั่งยืน ช่วยประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง เพื่อให้ร้านที่มีความคิดดีๆ เหล่านี้อยู่ได้ เราอาจจะไม่ต้องถอยหลังไปถึงการเก็บของป่ามาทำอาหาร แบบ Foraging แต่เราสามารถ เขียนแนะนำแกงผักต่างๆ เมนูที่กำลังสูญหาย ชวนคนกลับมากินอาหารท้องถิ่น ชวนพวกเขาให้เลือกซื้อผักที่หลากหลายขึ้น ช่วยกันส่งเสริมให้คนซื้อผักที่ปลูกโดยเกษตรกรที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ปลูกผักบางอย่างที่ปลูกง่ายๆ ไว้กินเองบ้าง แค่เห็นแฟนเพจ ส่งการบ้านที่ทำจากผักพื้นบ้าน ก็ถือว่าการสื่อสารของเรามันมีความหมายแล้ว เมื่อเราส่งเสริมเรื่องนี้เรื่อยๆ Demand มันจะเพิ่มขึ้น Supply จะตามมาและส่งผลให้ผักอินทรีย์ ราคาถูกลงเพราะมีคนซื้อมากขึ้น และผักพื้นบ้านก็จะไม่สูญหายเพราะยังมีคนกินอยู่”
หลายปีมาแล้วที่เธอพูดซ้ำๆ เรื่องเดิม จนมีเพื่อนพ้องที่อยู่รอบข้างบอกว่าเขียนแต่เรื่องเครียดๆ จะทำให้ไม่มีคนตาม คนจะไม่ให้ความสนใจ แต่เธอก็ไม่สนใจ ยังคงเขียนเรื่องนี้ต่อไป เพราะเมื่อก่อนก็มีคนเคยบอกเธอว่าอย่าเขียนยาว เพราะไม่มีคนไทยอ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัด แต่ทุกโพสท์ในเพจของเธอนั้นมีความยาวมากกว่า 500 ตัวอักษรทุกโพสท์ และยอดการติดตามก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
เธอจึงตั้งใจว่าจะทำมันต่อๆ ไปจนกว่าพื้นที่บนชั้นขายผักจะกลายเป็นคำว่า “ผักอินทรีย์” โดยสมบูรณ์ “มันเหมือนการซักฟอกอะไรสักอย่าง ต้องลงแรง แต่ถ้าเราออกแรงทำบ่อยๆ ค่อยๆ ฟอกมันเดี๋ยวมันก็เขียวไปเอง” เธอว่าอย่างนั้น